ระบบขับถ่าย
ระบบขับถ่าย ร่างกายมนุษย์มีกลไกต่าง ๆ
คล้ายเครื่องยนต์ ร่างกายต้องใช้พลังงาน การเผาผลาญพลังงานจะเกิดของเสีย
ของเสียที่ร่างกายต้องกำจัดออกไปมีอยู่ 2 ประเภท
·
สารที่มีปริมาณมากเกินความต้องการ
เป็นระบบที่ร่างกายขับถ่ายของเสียออกไป
ของเสียในรูปแก๊ส คือ ลมหายใจ ของเหลว คือเหงื่อและปัสสาวะ
ของเสียในรูปของแข็ง คือ อุจจาระ
· อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของแข็งคือ
ลำไส้ใหญ่
· อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของแก๊สคือ
ปอด
· อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปของเหลวคือ
ไต และผิวหนัง
· อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปปัสสาวะ
ได้แก่ ไต หลอดไต กระเพาะปัสสาวะ
·
อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่ายของเสียในรูปเหงื่อ
คือผิวหนัง ซึ่งมีต่อมเหงื่ออยู่ในผิวหนังทำหน้าที่ขับเหงื่อ
การขับถ่ายของเสียทางลำไส้ใหญ่
การย่อยอาหารจะสิ้นสุดลงบริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่
เนื่องจากอาหารที่ลำไส้เล็กย่อยแล้วจะเป็นของเหลว
หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ครึ่งแรกคือดูดซึมของเหลว น้ำ เกลือแร่และน้ำตาลกลูโคสที่ยังเหลืออยู่ในกากอาหาร
ส่วนลำไส้ใหญ่ครึ่งหลังจะเป็นที่พักกากอาหารซึ่งมีลักษณะกึ่งของแข็ง
ลำไส้ใหญ่จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นเพื่อให้อุจจาระเคลื่อนไปตามลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น
ถ้าลำไส้ใหญ่ดูดน้ำมากเกินไป เนื่องจากกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หลายวัน
จะทำให้กากอาหารแข็งเกิดอาการท้องผูก
สาเหตุของอาการท้องผูก
1. กินอาหารที่มีกากอาหารน้อย
2. กินอาหารรสจัด
4. ดื่มน้ำชา
กาแฟ มากเกินไป
5. สูบบุหรี่จัดเกินไป
6. เกิดความเครียด
หรือความกังวลมาก
โดยปกติ
กากอาหารผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ประมาณวันละ 300-500 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ซึ่งจะทำให้เกิด อุจจาระประมาณวันละ 150 กรัม
การขับถ่ายของเสียทางปอด
ปอดคืออวัยวะที่ทำหน้าที่แลกเปลี่ยนก๊าซ น้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการแล้วจะออกจากเซลล์แพร่เข้าไปในเส้นเลือด
แล้วลำเลียงไปยังปอดเกิดการแพร่ของน้ำและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่ถุงลมปอดแล้วเคลื่อนผ่านหลอดลมออกจากร่างกายทางจมูก
การขับถ่ายของเสียทางผิวหนัง
ผิวหนังของคนเราสามารถขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทางรูขุมขน
ซึ่งสิ่งที่ถูกขับออกมาคือ เหงื่อ เหงื่อที่ถูกขับออกมาทางต่อมเหงื่อ
เหงื่อประกอบด้วยน้ำประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ สารอื่นๆ อีก 1
เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกเกลือโซเดียมคลอไรด์ สารอินทรีย์พวกยูเรีย
และมีน้ำตาล แอมโมเนีย กรดแล็กติก และกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย
การขับถ่ายของเสียทางไต
ไต (Kidney) ทำหน้าที่กำจัดของเสียในรูปของน้ำปัสสาวะ
มี 1 คู่ รูปร่างคล้ายเม็ดถั่วดำ
อยู่ในช่องท้องสองข้างของกระดูกสันหลังระดับเอว
ถ้าผ่าตามยาวจะพบว่าไตประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 2 ชั้น คือ
เปลือกไตชั้นนอกกับเปลือกไตชั้นใน มีขนาดยาวประมาณ 10 เซนติเมตร
กว้างประมาณ 6 เซนติเมตร และหนา 3 เซนติเมตร
บริเวณตรงกลางของไตมีส่วนเว้าเป็นกรวยไต มีท่อไตต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ
ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไตนับล้านหน่วย
เป็นท่อที่ขดไปมาโดยมีปลายท่อข้างหนึ่งตัน เรียกปลายท่อที่ตันนี้ว่า “โบว์แมนส์แคปซูล(Bowman’s Capsule)” ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายถ้วย
ภายในแอ่งจะมีกลุ่มหลอดเลือดฝอยพันกันเป็นกระจุก เรียกว่า “โกลเมอรูลัส
(Glomerulus)” ซึ่งทำหน้าที่กรองของเสียออกจากเลือดที่ไหลผ่านไต
ไต มีลักษณะคล้ายเมล็ดถั่ว มีอยู่ 2 ข้าง ติดอยู่กับด้านหลังของช่องท้อง
กระบวนการขับถ่าย เริ่มจากหลอดเลือดที่นำเลือดมาจากหัวใจ เลือดและสารที่มากับเลือดจะถูกส่งเข้าหน่วยไต
หน่วยไตจะกรองสารที่มีอยู่ในเลือด สารที่ยังมีประโยชน์จะถูกหน่วยไตดูดซึมกลับคืนมา
ส่วนของเสีย อื่น ๆ
จะถูกส่งไปตามหลอดไตลงสู่กระเพาะปัสสาวะซึ่งมีความจุประมาณครึ่งลิตร
ในวันหนึ่งๆคนเราจะขับถ่ายปัสสาวะออกมา
ประมาณ 1-1.5 ลิตร
ปริมาณการขับถ่ายในแต่ละวันจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้
·
ปริมาณน้ำที่ร่างกายได้รับ
·
ชนิดของอาหารและเครื่องดื่ม
เช่น แตงโม เหล้า ทำให้การขับถ่ายปัสสาวะมากขึ้น
·
การเสียน้ำของร่างกายทางอื่น
ที่บริเวณของหน่วยไตมีการดูดซึมสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แร่ธาตุ
น้ำตาลกลูโคส กรดแอมิโน รวมทั้งน้ำกลับคืนสู่หลอดเลือดฝอยและเข้าสู่หลอดเลือดดำ
ส่วนของเสียอื่นๆ ที่เหลือก็คือ ปัสสาวะ จะถูกส่งมาตามท่อไตเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ
ซึ่งมีความจุประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร
แต่กระเพาะปัสสาวะสามารถที่จะหดตัวขับปัสสาวะออกมาได้
เมื่อมีปัสสาวะมาขังอยู่ประมาณ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร
ในแต่ละวันร่างกายจะขับปัสสาวะออกมาประมาณ 1-1.5 ลิตร
เมื่อไตผิดปกติจะทำให้สารบางชนิดออกมาปนกับปัสสาวะ เช่น เม็ดเลือดแดง
กรดแอมิโน น้ำตาลกลูโคส
ปัจจุบันแพทย์มีการใช้ไตเทียมหรืออาจจะใช้การปลูกถ่ายไตให้กับผู้ป่วยที่ไตไม่สามารถทำงานปกติได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น