วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2558

ระบบหมุนเวียนเลือด
         กระบวนการสร้างเสริมและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนโลหิต
         ในร่างกายมนุษย์มีหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตให้ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด การสูบโลหิตของหัวใจ ทำให้เกิดแรงดันให้เลือดไหลไปตามเส้นเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย และไหลกลับคืนสู่หัวใจ โดยหัวใจของคนเราตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้งสองข้างค่อนมาทางด้ายซ้ายชิดผนังทรวงอก แบ่งออกเป็น 4 ห้อง ห้องบนสองห้อง มีผนังเอเทรียม (atrium) ส่วนห้องล่างมีขนาดใหญ่และหนากว่าเรียกว่า เวนทรีเคิล (ventricle) ระหว่างห้องบนกับห้องล่างทั้งสองซีกจะมีลิ้นหัวใจคอยปิด-เปิดเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
ระบบไหลเวียนโลหิตของมนุษย์ประกอบด้วยหัวใจเป็นอวัยวะสำคัญ ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายโดยมีเส้นเลือดเป็นท่อลำเลียงเลือด ระบบไหลเวียนโลหิตประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ เลือด เส้นเลือด และหัวใจ


ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นระบบที่นำสารเข้าและออกจากเซลล์สามารถช่วยในการรักษาระดับอุณหภูมิ ความเป็นกรด-เบส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
การไหลเวียนโลหิตเริ่มจากการปั๊มเลือดไปตามหลอดเลือดแดงใหญ่เลือดจะไหลไปสู่เส้นเลือดแดงเล็กๆ และเลือดฝอยตามลำดับเนื้อเยื่อต่างๆจะได้รับออกซิเจนและสารอาหารต่างๆจากเลือดในขณะเดียวกันก็จะมีการแลกเปลี่ยนเอาคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียต่างๆ จากเนื้อเยื่อไปยังเลือดด้วย จากนั้นเลือดจะไหลจากเส้นเลือดฝอยไปยังเส้นเลือดดำ หลอดเลือดดำขนาดใหญ่และกลับเข้าสู้หัวใจในที่สุด

1.4.1 ส่วนประกอบของระบบหมุนเวียนโลหิต

ระบบหมุนเวียนโลหิตประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ เลือด เส้นเลือด หัวใจ

1. เลือด   (blood) เป็นของเหลวชนิดหนึ่งในร่างกาย ประกอบด้วย   น้ำเลือด เกล็ดเลือด เซลล์เม็ดเลือดเเดง เซลล์เม็ดเลือดขาว ร่างกายเรามีเลือดอยู่ประมาณ 5 ลิตรหรือคิดเทียบกับน้ำหนักตัวเท่ากับร้อยละ 7-8 ของน้ำหนักตัว  

น้ำเลือด หรือ  พลาสมา  เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่มีอยู่ร้อยละ 55 ของเลือดทั้งหมดมีสภาวะเป็นเบส ค่า ph 7.4 ประกอบด้วย   น้ำ 91% สารอื่นๆ เช่น   โปรตีน 7% วิตามิน เกลือแร่ เอ็นไซม์ ฮอร์โมน ก๊าซ 2% ( ทำหน้าที่ลำเลียงเอมไซม์ ฮอร์โมน แก๊ส แร่ธาตุ วิตามิน และสารอาหารประเภทต่างๆ ที่ผ่านการย่อยมาแล้วไปให้เซลล์และรับของเสียจากเซลล์ส่งไปกำจัดออกนอกร่างกาย)
เม็ดเลือด
เม็ดเลือดเเดง  ( มีอายุ 110-120 วัน) ถูกสร้างมาจากไขกระดูก ตับ ม้าม เม็ดเลือดเเดง(มีอายุ 7-14 วัน) โตกว่าเม็ดเลือดแดง มีหน้าที่ทำลายเชื้อโรค เม็ดเลือดขาวโดนทำลายโดย   เชื้อโรค   80%   ไขกระดูก  และ ม้าม ร่างกายคนมีเม็ดเลือดขาว 5000-10000 เซลล์/เลือด 1ml แบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่
•  ฟาโกไซต์ ( phagocyte) มีวิธีการทำลายเชื้อโรคเรียกว่า " ฟาโกไลซิส " (Phagocytosis)
•  ลิมโฟไซต์ ( lymphocyte) สร้าง " แอนติบอดี้ " (Antibody) เพื่อต่อต้านเชื้อโรค

เกล็ดเลือด
เกล็ดเลือด ไม่ใช่เชลล์ แต่เป้นชิ้นส่วนของเซลล์ รูปร่างไม่แน่นอน มีขนาดเล็ก ไม่มีนิวเคลียส มีอายุประมาณ 3-4 วัน ถูกสร้างมาจากไขกระดูก มีปริมาณประมาณ 150,000-300,000 ชิ้น/เลือด 1 ลูกบาสก์เซนติเมตร นอกจากนี้เกล็ดเลือดจะหลั่งสารเคมี (ไฟบริน) ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล
2. เส้นเลือด (Blood  Vessel)   คือท่อที่เป็นทางให้เลือดไหลเวียนในร่างกายซึ่งมี 3 ระบบ คือเส้นเลือดแดง    
เส้นเลือดดำ และเส้นเลือดฝอย เส้นเลือดในร่างกายแบ่งเป็น 2 ระบบใหญ่ๆ คือ ระบบเส้นเลือดแดง ( arteril system) และระบบเส้นเลือดดำ ( venous system)


เส้นเลือดแดง ( artery) คือ เส้นเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปยังอวัยวะและส่วนต่างๆ ของ ร่างกายเลือดในเส้นเลือดแดงส่วนมากเป็นเลือดดี นอกจากเส้นเลือดแดงที่ไปยังปอดที่เป็นเลือดเสียเพื่อนำไป ฟอกให้บริสุทธิ์
เส้นเลือดดำ ( vein) คือเส้นเลือดที่นำเลือดเข้าสู่หัวใจส่วนมากเป็นเลือดเสียยกเว้นเส้นเลือดที่มา จากปอดซึ่งจะเป็นเลือดบริสุทธิ์ โครงสร้างของเส้นเลือด
3. หัวใจ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดตลอดเวลาไม่มีการหยุด เพื่อให้กระแสเลือดหมุนเวียนทั่วร่างกายต่อเนื่องกัน หัวใจมนุษย์ แบ่งออกเป็น 4 ช่อง คือ บนซ้าย ล่างซ้าย บนขวา และล่างขวา เลือดที่อยู่ในสองช่องซ้ายจะเป็นเลือดดีที่มาจากปอด เรียกว่าเลือดแดง ส่วนเลือดในสองช่องขวาจะเป็นเลือดที่รับมาจากร่างกายเป็นเลือดที่ใช้ออกซิเจนไปจนหมดแล้ว เรียกว่า เลือดดำ หัวใจช่องล่างจะมีผนังหนาและแข็งแรง และมีขนาดใหญ่กว่าหัวใจช่องบน ระหว่างหัวใจช่องบนและล่างจะมีลิ้นหัวใจเปิดทางเดียวเพื่อให้เลือดจากช่องบนไหลลงช่องล่างได้ แต่ไหลย้อนกลับไม่ได้ กล้ามเนื้อหัวใจจะประกอบด้วยเซลล์เฉพาะ ในขณะที่กล้ามเนื้อหดตัวจะบีบเลือดในหัวใจออกจากช่องล่างโดยเลือดแดงจะกระจายไปยังอวัยวะทั่วร่างกาย แต่เลือดดำจะไหลไปยังปอด ในช่วงคลายตัวหัวใจจะขยายโตขึ้นและดูดเลือดเข้ามาโดยผ่านทางช่องบนและลงมาช่องล่าง สองช่องซ้ายจะรับเลือดแดงจากปอด ในขณะที่สองช่องขวารับเลือดดำจากเซลล์ทั่วร่างกาย และถูกสูบฉีดออกไปเป็นวัฏจักรเรื่อยๆ โดยเลือดดำที่ออกจากช่องล่างขวาของหัวใจไปปอดจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และรับออกซิเจนจากอากาศในปอดกลับกลายเป็นเลือดแดงไหลกลับเข้าสู่หัวใจด้านซ้ายเพื่อถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกายต่อไป การบีบตัวของหัวใจทำให้แรงดันในหลอดเลือดสูงขึ้นและเมื่อคลายตัวแรงดันจะต่ำลง แรงดันนี้สามารถทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัวและหดตัวสลับกัน ทำให้สัมผัสได้ในลักษณะ การเต้นของชีพจร ซึ่งใช้เป็นการวัดความถี่ในการเต้นของหัวใจ ส่วนแรงดันที่เกิดขึ้นก็สามารถใช้เครื่องมือวัดได้ เช่นกัน เรียกว่า ความดันโลหิต


1.4.2 หน้าที่ของระบบไหลเวียนโลหิต
หน้าที่ของระบบไหลเวียนเลือด อาจแบ่งได้เป็นข้อๆ ดังนี้ คือ
          1. 
ให้อาหาร นำอาหารและสารอื่นๆ ไปเลี้ยงเซลล์ของร่างกาย
          2. 
หายใจ นำคาร์บอนไดออกไซด์ไปขับออกทางปอดเพื่อแลกเปลี่ยนออกซิเจนกลับมาใช้
          3. 
ขับถ่าย นำของเสียซึ่งเกิดจากเมแทบอลิซึม เพื่อขับออกภายนอกร่างกาย
          4. 
การคงปริมาณสารน้ำของร่างกาย ช่วยควบคุมและรักษาดุลของสารน้ำภายในร่างกาย
          5. 
การควบคุมอุณหภูมิ รักษาอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติ
          6. 
ปรับระดับและป้องกัน เลือดที่ไหลเวียนช่วยนำสารบางอย่าง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายไปยังอวัยวะ ต่างๆ และนำสารบางอย่างที่เป็นตัวช่วยป้องกันร่างกายไปยังที่ได้รับอันตรายด้วย
1.4.3 การดูแลรักษาระบบไหลเวียนโลหิต
    1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันหรือคอเลสเตอร์รอลสูง
    2. 
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและให้เหมาะสมกับวัย ซึ่งจะทำให้การทำงานของหัวใจดีขึ้น และแข็งแรง
    3. 
พักผ่อนให้เพียงพอกับวัยสภาพร่างกาย
    4. 
ทำจิตใจให้ร่างเริงแจ่มใสอยู่เสมอ  
    5. 
หมั่นตรวจสอบสุขภาพตนเอง โดยไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายทุกปี


ระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์

เมื่อสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นอวัยวะต่างๆในร่างกายส่วนใหญ่จะเริ่มทำงานไปพร้อมๆกับการเจริญเติบโตของร่างกาย ยกเว้น อวัยวะใน   ระบบสืบพันธุ์ โดยจะเริ่มทำงานเมื่อร่างกายเจริญเติบโตมาจนย่างเข้าสู่วัยรุ่น
ระบบสืบพันธุ์เพศชาย
    ระบบสืบพันธุ์เพศชายประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ดังนี้
1. อัณฑะ (Testis) และถุงอัณฑะ (Scrotum)
              อัณฑะ มีลักษณะรูปร่างคล้ายไข่ฟองเล็ก ยาว 3-4 Cm หนาประมาณ 2-3 Cm
                หนักประมาณ 50 กรัม อัณฑะมี 2 ข้างและขนาดใกล้เคียงกันอยู่ภายในถุงอัณฑะ ซึ่งทำหน้าที่
                ปรับอุณหภูมิภายในถุงอัณฑะให้เหมาะแก่การเจริญเติบโตของอสุจิ คือ ประมาณ 34
                องศาเซลเซียส ภายในอัณฑะประกอบด้วยหลอดสร้างตัวอสุจิ มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆขดเรียงกัน
                อยู่มากมาย เพื่อทำหน้าที่สร้างตัวอสุจิ (Sperm) นอกจากนั้นยังมีเซลล์ที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมน
                เพศชาย ซึ่งควบคุมลักษณะต่างๆของเพศชาย เช่นเสียงห้าว มีหนวดเครา
2. หลอดเก็บตัวอสุจิ
               เป็นที่พักของตัวอสุจิที่สร้างจากหลอดสร้างตัวอสุจิจะอยู่บริเวณด้านบนของอัณฑะต่อเชื่อม
                กับหลอดนำตัวอสุจิ
3. หลอดนำตัวอสุจิ  
               อยู่ต่อจากหลอดเก็บอสุจิ ทำหน้าที่ลำเลียงอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ
4. ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงอสุจิ(seminal vesicle)
               อยู่ต่อจากหลอดนำตัวอสุจิ ทำหน้าที่สร้างอาหารให้แก่ตัวอสุจิ ส่วนมากเป็นน้ำตาลฟรักโตส
                และสารประกอบอื่นๆที่ทำให้เกิดสภาพที่เหมาะกับตัวอสุจิ
5. ต่อมลูกหมาก(prostate gland)
               อยู่บริเวณตอนต้นของท่อปัสสาวะ ทำหน้าที่หลั่งสารบางชนิดที่เป็นเบสอย่างอ่อน เข้าไปใน
               ท่อปัสสาวะปนกับน้ำเลี้ยงอสุจิและสารที่ทำให้ตัวอสุจิแข็งแรงและว่องไว
6. ต่อมคาวเปอร์(cowper gland)
                มีหน้าที่หลั่งสารของเหลวใสๆไปหล่อลื่นท่อปัสสาวะในขณะเกิดการกระตุ้นทางเพศ
7. อวัยวะเพศชาย(pennis)
                เป็นกล้ามเนื้อที่หดและพองตัวได้คล้ายฟองน้ำในวลาปกติจะอ่อนและงอตัวอยู่ แต่เมื่อ

                ถูกกระตุ้นจะเเข็งตัวเพราะมีเลือดมาคั่งมากภายในจะมีท่อปัสสาวะทำหน้าที่เป็นทางผ่านของตัวอสุจิและปัสสาวะ


ขั้นตอนในการสร้างตัวอสุจิและการหลั่งน้ำอสุจิ มีดังนี้
              เริ่มจากหลอดสร้างตัวอสุจิ ซึ่งอยู่ภายในอัณฑะสร้างตัวอสุจิออกมา จากนั้นตัวอสุจิจะ
                ถูกนำไปพักไว้ที่หลอดเก็บอสุจิก่อนจะถูกลำเลียงผ่านไปตามหลอดนำตัวอสุจิ เพื่อนำ
                ตัวอสุจิไปเก็บไว้ที่ต่อมสร้างน้ำเลี้ยงตัวอสุจิรอการหลั่งออกสู่ภายนอก ต่อมลูกหมากจะ
                หลั่งสารเข้าผสมกับน้ำเลี้ยงอสุจิเพื่อปรับสภาพให้เหมาะสมกับตัวอสุจิก่อนที่จะหลั่ง
                น้ำอสุจิออกสู่ภายนอกทางท่อปัสสาวะโดยปกติเพศชายจะเริ่มสร้างตัวอสุจิได้เมื่ออายุ
                ประมาณ 12 - 13 ปี และจะสร้างไปจนตลอดชีวิต ส่วนการหลั่งน้ำอสุจิในแต่ละครั้งจะมี
                ของเหลวออกมาเฉลี่ยประมาณ 3 - 4 ลูกบาศก์เซนติเมตรและมีตัวอสุจิเฉลี่ยประมาณ
                350 - 500 ล้านตัว สำหรับชายที่เป็นหมันจะมีตัวอสุจิน้อยกว่า 30 - 50 ล้านตัว
                ต่อลูกบาศก์เซนติเมตร หรือมีตัวอสุจิที่ผิดปกติมากกว่าร้อยละ 25  ตัวอสุจิที่หลั่งออก
                มาจะเคลื่อนที่ได้ประมาณ 3 - 4 มิลลิเมตรต่อนาที และมีชีวิตอยู่นอกร่างกายได้
                ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่จะมีชีวิตอยู่ในมดลูกของเพศหญิงได้นานประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง



ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง
    ระบบสืบพันธุ์เพศหญิง  ประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ดังนี้
    

1.  รังไข่   
               ทำหน้าที่ผลิตไข่และฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งจะกำหนดลักษณะต่างๆในเพศหญิง เช่น
                ตะโพกผาย เสียงแหลม สำหรับรังไข่จะมี 2 อัน ซึ่งจะอยู่คนละข้างของมดลูกจะมี
                ลักษณะคล้ายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ยาวประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร หนา 1 เซนติเมตร
 2.  ท่อนำไข่  
                เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ปีกมดลูก เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างรังไข่ทั้งสองข้างกับมดลูก ทำ
                หน้าที่เป็นทางผ่านของไข่ที่ออกจากรังไข่เข้าสู่มดลูกและเป็นบริเวณที่อสุจิจะเข้า
                ปฏิสนธิกับไข่ ท่อนำไข่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร และยาวประมาณ
                6 - 7 เซนติเมตร
   3.  มดลูก  
               มีรูปร่างคล้ายผลชมพู่หัวกลับลง กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6 - 8
                เซนติเมตร หนาประมาณ 2 เซนติเมตร อยู่ในบริเวณอุ้งกระดูกเชิงกรานระหว่าง
                กระเพาะปัสสาวะกับทวารหนัก ทำหน้าที่เป็นที่ฝังตัวของไข่ที่ได้รับการผสมแล้วและเป็น
                ที่เจริญเติบโตของทารกในครรภ์
    4. ช่องคลอด
               อยู่ต่อจากมดลูกลงมา ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของตัวอสุจิเข้าสู่มดลูกและเป็น
                ทางออกของทารกเมื่อครบกำหนดคลอด



การตกไข่
              การตกไข่  หมายถึง  การที่ไข่สุกและออกจากรังไข่เข้าสู่ท่อนำไข่ โดยปกติรังไข่แต่
                ละข้างจะสลับกันผลิตไข่ในแต่ละเดือน ดังนั้น จึงมีการตกไข่เกิดขึ้นเดือนละ 1 ใบ ใน
                ช่วงกึ่งกลางของรอบเดือน เมื่อมีการตกไข่ มดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยมี
                ผนังหนาขึ้นทั้งมีเลือดมาหล่อเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ซึ่งต่อไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใน
                2 กรณีต่อไปนี้
                1. ถ้ามีอสุจิเคลื่อนที่เข้ามาในท่อนำไข่ในขณะที่มีการตกไข่ อสุจิจะเข้าปฏิสนธิกับ
                   ไข่ที่บริเวณท่อนำไข่ด้านที่ใกล้กับรังไข่ ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะเคลื่อนตัวเข้าสู่มดลูก
                   เพื่อฝังตัวที่ผนังมดลูกและเจริญเติบโตต่อไป
                2.  ถ้าไม่มีตัวอสุจิเข้ามาในท่อนำไข่  ไข่จะสลายตัวก่อนที่จะผ่านมาถึงมดลูก จาก
                   นั้นผนังด้านในของมดลูกและเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยง เป็นจำนวนมากก็จะสลายตัว แล้ว
                   ไหลออกสู่ภายนอกร่างกายทางช่องคลอด เรียกว่า ประจำเดือน โดยปกติผู้หญิงจะเริ่ม
                   มีประจำเดือนเมื่อายุประมาณ 12 ปี ขึ้นไป รอบของการมีประจำเดือนแต่ละเดือนจะแตก
                   ต่างกันไปในแต่ละคน โดยทั่วไปประมาณ 28 วัน และจะมีทุกเดือนไปจนกระทั่งอายุ
                  ประมาณ 50 - 55 ปี จึงจะหยุดการมีประจำเดือน โดยจะขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของ
                  ร่างกาย












ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
                ร่างกายแบ่งกล้ามเนื้อออกเป็น 3 ชนิด คือ กล้ามเนื้อยึดกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย (skeletal muscle or striatedmuscle) กล้ามเนื้อเรียบ (smoothmuscle) กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac muscle) โดยที่กล้ามเนื้อลายนั้นถูกควบคุมอยู่ภายใต้อำนาจจิตใจหรือรีเฟล็กซ์ ส่วนกล้ามเนื้อเรียบและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานนอกอำนาจจิตใจ

1. กล้ามเนื้อลายหรือกล้ามเนื้อยึดกระดูก (skeletonmuscle)




ภาพกล้ามเนื้อลาย

                เป็นกล้ามเนื้อที่เกาะติดกับโครงกระดูกหรือกล้ามเนื้อลาย เช่น กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อขา จึงทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยตรง เมื่อนำเซลล์กล้ามเนื้อเหล่านี้มาศึกษาด้วย กล้องจุลทรรศน์จะมองเห็นเป็นแถบลาย เซลล์กล้ามเนื้อนี้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว แต่ละเซลล์ มีหลายนิวเคลียสอยู่ที่ขอบของเซลล์ มีลายตามขวางสีเข้มและสีจางสลับกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนเมื่อย้อมด้วยสีคนที่ออกกำลังเสมอเส้นใยกล้ามเนื้อจะโตขึ้น และหนาขึ้น แต่จำนวนไม่เพิ่มขึ้นการทำงานของกล้ามเนื้อยึดกระดูกถูกควบคุมโดยระบบประสาทโซมาติก การทำงานของกล้ามเนื้อชนิดนี้ ร่างกายสามารถบังคับได้ซึ่งถือว่าอยู่ในอำนาจจิตใจ โดยกล้ามเนื้อลายมีหน้าที่เคลื่อนไหวร่างกายที่ข้อต่อต่างๆเคลื่อนไหวลูกตาช่วยในการเคี้ยวและการกลืน เคลื่อนไหวลิ้น เคลื่อนไหวใบหน้าแสดงอารมณ์ต่างๆและยังประกอบเป็นผนังอก และผนังท้องตลอดจนการควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ






2.กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiacmuscle)



ภาพกล้ามเนื้อหัวใจ
               
                กล้ามเนื้อหัวใจประกอบเป็นกล้ามเนื้อหัวใจเพียงแห่งเดียวอยู่นอกอำนาจจิตใจโดยควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติมีลักษณะเป็นเซลล์รูปทรงกระบอกมีลายตามขวางเป็นแถบสีทึบสลับกับสีจางเซลล์กล้ามเนื้อตอนปลายของเซลล์มีการแตกแขนง ไปประสานกับแขนงของเซลล์ใกล้เคียงเซลล์ทั้งหมดจึงหดตัวพร้อมกัน และหดตัวเป็นจังหวะตลอดชีวิต


3.กล้ามเนื้อเรียบ (smoothmuscle)


ภาพกล้ามเนื้อเรียบ

                กล้ามเนื้อเรียบเป็นกล้ามเนื้อที่พบอยู่ตามอวัยวะภายในทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะย่อยอาหารและอวัยวะภายใน ต่างๆ เช่นผนังกระเพาะอาหาร ผนังลำไส้ ผนังหลอดเลือด และม่านตา เป็นต้น กล้ามเนื้อเหล่านี้ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะยาว หัวท้ายแหลม แต่ละเซลล์มี 1 นิวเคลียส ไม่มีลายพาดขวาง การทำงานของกล้ามเนื้อเรียบถูกควบคุมโดยระบบประสาทอิสระ (Autonomie Nervous System)มีลักษณะเป็นเซลล์รูปกระสวย มีนิวเคลียสรูปไข่อยู่ตรงกลาง
เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อลายและกล้ามเนื้อเรียบที่อวัยวะต่าง ๆ 



คุณสมบัติของกล้ามเนื้อ

-มีความรู้สึกต่อสิ่งเร้า (Irritability) คือ สามารถรับ Stimuli และตอบสนองต่อ Stimuli โดยการหดตัวของ กล้ามเนื้อ เช่น กระแสประสาทที่กล้ามเนื้อเวลาที่จับโดนความร้อนหรือ กระแสไฟฟ้า เรามักมีการหนีหรือหลบเลี่ยง
-มีความสามารถที่จะหดตัวได้ (Contractelity) คือ กล้ามเนื้อสามารถเปลี่ยนรูปร่างให้สั้นหนา และแข็งได้
-มีความสามารถที่จะหย่อนตัวหรือยืดตัวได้ (Extensibility) กล้ามเนื้อสามารถ ที่จะเปลี่ยน รูปร่างให้ยาวขึ้นกว่าความยาวปกติของมันได้ เมื่อถูกดึง เช่น กระเพาะอาหาร กระเพาะ ปัสสาวะ มดลูก เป็นต้น
-มีความยืดหยุ่นคล้ายยาง (Elasticity) คือ มีคุณสมบัติที่เตรียมพร้อมที่จะ กลับคืนสู่สภาพ เดิมได้ ภายหลังการ ถูกยืดออกแล้ว ซึ่งคุณสมบัตินี้ทำให้ เกิด Muscle Tone ขึ้น
-มีความสามารถที่จะดำรงคงที่อยู่ได้ (Tonus) โดยกล้ามเนื้อมีการหดตัว บ้างเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมที่จะ ทำงานอยู่เสมอ




การทำงานของกล้ามเนื้อ
                การทำงานของกล้ามเนื้อนั้นจะต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ ได้แก่
1. แคลเซียมไอออน หากขาดแล้วจะเกิดอาการชัก
2. พลังงาน ได้จากกระบวนการสลายอาหารภายในเซลล์
3. Myoglobin ทำหน้าที่นำออกซิเจนให้กล้ามเนื้อ

                กล้ามเนื้อในส่วนต่างๆของร่างกาย
กล้ามเนื้อในร่างกายทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 792 มัด เป็นกล้ามเนื้อชนิดที่อยู่ในอำนาจจิตใจ 696 มัด ที่ เหลืออีก 96 มัด เป็นกล้ามเนื้อที่เราบังคับได้ไม่เต็มสมบูรณ์ ซึ่งได้แก่กล้ามเนื้อ ที่ทำหน้าที่ในการหายใจ (Respiration) จาม (Sneezing) ไอ (Coughing)

ตัวอย่างกล้ามเนื้อที่หน้าสนใจ
กล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ (TheMuscles of respiration)
* Diaphragm ทำให้ช่องอกขยายโตขึ้นและช่วยดันปอดให้ลมออกมา
* External Intercostal ยกซี่โครงขึ้นทำให้ช่องอกขยาย ใหญ่ขึ้น
* Internal Intercostal ทำให้ช่องอกเล็กลง
                กล้ามเนื้อของแขนกล้ามเนื้อของแขน แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ดังนี้
(1) กล้ามเนื้อของไหล่ ที่สำคัญได้แก่ กล้ามเนื้อ deltoid เนื้อใหญ่หนา มีรูป เป็นสามเหลี่ยมคลุมอยู่ที่ข้อไหล่ตั้งต้นจากปลายนอกของกระดูก ไหปลาร้า และกระดูกสะบัก แล้วไปยึดเกาะที่พื้นนอกตอนกลางของกระดูกแขนท่อนบน ทำหน้าที่ยกต้นแขนขึ้นมาข้างบนให้ได้ระดับกับไหล่เป็นมุมฉาก
(2) กล้ามเนื้อของต้นแขน ที่สำคัญได้แก่ - ไบเซฟส์แบรคิไอ (biceps brachii) เป็นกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหน้าของ ต้นแขน มีรูปคล้ายกระสวย ทำหน้าที่งอข้อศอกและหงายมือ - ไตรเซฟส์แบรคิไอ (triceps brachii) เป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่อยู่ด้าน หลังของต้นแขน ปลายบนแยกออกเป็น 3 หัว ช่วยทำหน้าที่เหยียดปลายแขนหรือข้อศอก
(3) กล้ามเนื้อของปลายแขน มีอยู่หลายมัด จำแนกออกเป็นด้านหน้า และ ด้านหลัง ในแต่ละด้านยังแยกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นตื้น และชั้นลึก ทำหน้าที่เหยียดข้อศอก เหยียดและงอมือ เหยียดนิ้วมือ กระดกข้อมือ งอข้อมือ พลิกแขนและคว่ำแขน ฯลฯ
(4) กล้ามเนื้อของมือ เป็นกล้ามเนื้อสั้น ๆ ทำหน้าที่เคลื่อนไหวนิ้วมือ
                กล้ามเนื้อของขากล้ามเนื้อของขา จำแนกออกเป็น
(1) กล้ามเนื้อตะโพก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดของตะโพก ได้แก่ กลูเทียส แมกซิมัส (gluteus maximus)มีลักษณะหยาบและอยู่ตื้น ช่วยทำหน้าที่เหยียดและกางต้นขา นอกจากนี้ยังมีมัดเล็ก ๆ อยู่ใต้กล้ามเนื้อมัดใหญ่นี้ ช่วยกางและหมุนต้นขาเข้าข้างใน
(2) กล้ามเนื้อของต้นขา ประกอบด้วย - กล้ามเนื้อด้านหน้าของต้นขา มีหน้าที่เหยียดปลายขา - กล้ามเนื้อด้านในของต้นขา มีหน้าที่หุบต้นขา - กล้ามเนื้อด้านหลังของต้นขา มีหน้าที่งอปลายขา
(3) กล้ามเนื้อของปลายขา ประกอบด้วย - กล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา ทำหน้าที่งอเท้าขึ้นเหยียด นิ้วเท้าและหันเท้าออกข้างนอก - กล้ามเนื้อด้านนอกของปลายขา ช่วยทำหน้าที่เหยียดปลายเท้า เหมือนกล้ามเนื้อด้านหลังของปลายขา
(4) กล้ามเนื้อของเท้า เป็นกล้ามเนื้อสั้น ๆ เหมือนกับของมือ อยู่ที่หลังเท้า และฝ่าเท้า มีหน้าที่ช่วยยึดเท้าให้เป็นส่วนโค้งและเคลื่อนไหวนิ้วเท้า


โดยเมื่อสมองสั่งให้ร่างกายเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อจะเกิดการหดตัวและคลายตัว ทำงานประสานเป็นคู่ ๆ พร้อมกัน แต่ตรงข้ามกัน ในขณะที่กล้ามเนื้อมัดหนึ่งหดตัว กล้ามเนื้ออีกมัดหนึ่งจะคลายตัว การทำงานของกล้ามเนื้อในลักษณะนี้ เรียกว่า Antagonisticmuscle
มัดกล้ามเนื้อไบเซพ (Biceps) อยู่ด้านบน และไตรเซพ (Triceps) อยู่ด้านล่างของแขน
ไบเซพหรือ (Flexors)คลายตัว ไตรเสพ หรือ (Extensors) หดตัว»» แขนเหยียดออก
ไบเซพหรือ (Flexors)หดตัว ไตรเสพ หรือ (Extensors) คลายตัว»» แขนงอเข้า 


ระบบกระดูก (Skeletal system)
       มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตทีมีวิวัฒนาการที่ซับซ้อน มีอวัยวะต่างๆทำงานสอดคล้องกันเป็นระบบ 
กระดูกคนเรามีทั้งหมด 206ชิ้น แบ่งประเภทได้ดังนี้

กระดูกแกนกลางของร่างกาย (Axial skeletal)  มีทั้งหมด 80 ชิ้น ได้แก่
1. กระดูกกะโหลกศรีษะ (Cranium)                                                                                                                    
  กระดูกหน้าผาก (Frontal bone) 1 ชิ้น                                                                                                                 
 กระดูกด้านข้างศรีษะ (Parietal bone) 2 ชิ้น                                                                                                                              
กระดูกขมับ (Temporal bone) 2 ชิ้น                                                                                                                                
กระดูกท้ายทอย (Occipital bone) 1 ชิ้น                                                                                                                     
กระดูกขื่อจมูก (Ethmoid bone) 1 ชิ้น                                                                                                                      
กระดูกรูปผีเสื้อ (Sphenoid bone) 1 ชิ้น
2. กระดูกใบหน้า (Bone of face)                                                                                                                                         
กระดูกสันจมูก (Nasal bone) 2 ชิ้น                                                                                                                         
กระดูกกั้นช่องจมูก (Vomer) 1 ชิ้น                                                                                                                            
กระดูกข้างในจมูก (Inferior concha) 2 ชิ้น                                                                                                                        
 กระดูกถุงน้ำตา (Lacrimal bone) 2 ชิ้น                                                                                                                    
กระดูกโหนกแก้ม (Zygomatic bone) 2 ชิ้น                                                                                                                       
กระดูกเพดาน (Palatine bone) 2 ชิ้น                                                                                                                        
กระดูกขากรรไกรบน (Maxillary) 2 ชิ้น                                                                                                                              
กระดูกขากรรไกรล่าง (Mandible) 1 ชิ้น
3. กระดูกหู (Bone of ear)                                                                                                                                         
กระดูกรูปฆ้อน (Malleus) 2 ชิ้น                                                                                                                                      
กระดูกรูปทั่ง (Incus) 2 ชิ้น                                                                                                                                       
กระดูกรูปโกลน (Stapes) 2 ชิ้น
4. กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิ้น
5. กระดูกสันหลัง (Vertebrae) 26 ชิ้น ได้แก่                                                                                                             
กระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical vertebrae) 7 ชิ้น                                                                                                         
กระดูกสันหลังส่วนอก (Thoracic vertebrae) 12 ชิ้น                                                                                                    
กระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar vertebrae) 5 ชิ้น                                                                                                        
กระดูกกระเบนเหน็บ (Sacrum) 1 ชิ้น                                                                                                                               
กระดูกก้นกบ (Coccyx) 1 ชิ้น
6. กระดูกทรวงอก (Sternum) 1 ชิ้น
7. กระดูกซี่โครง (Rib) 24 ชิ้น
กระดูกระยางค์ (Appendicular skeletal)     ประกอบด้วย กระดูก 126 ชิ้น ได้แก่
1. กระดูกไหล่ (Shoulder girdle) ประกอบด้วย                                                                                                           
กระดูกไหปลาร้า (Clavicle) 2 ชิ้น                                                                                                                                  
กระดูกสะบัก (Scapular) 2 ชิ้น
2. กระดูกต้นแขน (Humerus) 2 ชิ้น
3. กระดูกปลายแขน (Bone of forearm) ประกอบด้วย                                                                                                 
กระดูกปลายแขนท่อนใน (Ulna) 2 ชิ้น                                                                                                                              
กระดูกปลายแขนท่อนนอก (Radius) 2 ชิ้น
4. กระดูกข้อมือ (Carpal bone) 16 ชิ้น
5. กระดูกฝ่ามือ (Metacarpal bone) 10 ชิ้น
6. กระดูกนิ้วมือ (Phalanges) 28 ชิ้น
7. กระดูกเชิงกราน (Hip bone) 2 ชิ้น
8. กระดูกต้นขา (Femur) 2 ชิ้น
9. กระดูกหน้าแข้ง (Tibia) 2 ชิ้น
10. กระดูกน่อง (Fibula) 2 ชิ้น
11. กระดูกข้อเท้า (Tarsal bone) 14 ชิ้น
12. กระดูกฝ่าเท้า (Metatarsal bone) 10 ชิ้น
13. กระดูกนิ้วเท้า (Phalanges) 28 ชิ้น
จำนวนของกระดูก (Number of bone)
        จำนวนของกระดูกทั้งหมดในร่างกาย หมายถึง กระดูกในผู้ใหญ่ที่เจริญเต็มที่แล้ว 
มีทั้งสิ้น206 ชิ้น โดยแบ่งเป็นส่วนต่างๆ ดังนี้
กะโหลกศรีษะ( Cranium) 8 ชิ้น                                                                                                                                      
กระดูกหน้า (Face) 14 ชิ้น                                                                                                                                         
กระดูกหู (Ear) 6 ชิ้น  :กระดูกโคนลิ้น (Hyoid bone) 1 ชิ้น                                                                                                       
กระดูกสันหลัง 26 ชิ้น                                                                                                                                                     
กระดูกหน้าอก (Sternum) 1 ชิ้น                                                                                                                                         
กระดูกซี่โครง (Ribs) 24 ชิ้น                                                                                                                                             
กระดูกแขน (Upper extremities) 64 ชิ้น                                                                                                                          
กระดูกขา (Lower extremities) 62 ชิ้น




แบ่งตามลักษณะกระดูก
1.             กระดูกยาว ได้แก่ กระดูกแขน กระดูกขา                                                                                                    
2.             กระดูกสั้น ได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูกข้อเท้า
3.             กระดูกแบน ได้แก่ กระดูกซี่โครง กระดูกอก กระดูกสะบัก
4.             กระดูกยาว รูปร่างไม่แน่นอน ได้แก่ กะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง 
กระดูกเชิงกราน
5.             กระดูกลม
6.             กระดูก โพรง กะโหลกศีรษะ
           หน้าที่ของกระดูก
1.             ช่วยรองรับอวัยวะต่างๆ ให้ทรงและตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ควรอยู่ 
 (Organ of support)
2.             เป็นส่วนที่ใช้ในการเคลื่อนไหว เช่น พาร่างกายย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่
หนึ่ง (Instrument of locomotion)
3.             เป็นโครงของส่วนแข็ง (Framework of hard material)
4.             เป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อต่างๆ และ Ligament เพื่อทำหน้าที่เป็นคานให้
กล้ามเนื้อทำหน้าที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
5.             ช่วยป้องกันอวัยวะสำคัญไม่ให้ได้รับอันตราย เช่น สมอง ปอด และหัวใจ 
เป็นต้น
6.             ทำให้ร่างกายคงรูปได้ (Shape to whole body)
7.             ภายในกระดูกมีไขกระดูก (Bone marrow) ที่ทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือด
 (Blood cell)
8.             เป็นที่เก็บแร่ธาตุ Calcium ในร่างกาย
9.             ป้องกันเส้นประสาทและหลอดเลือดที่ทอดอยู่ตามแนวของกระดูกนั้น


ข้อต่อและกระดูก
        กระดูกที่ละท่อนต่อเชื่อมกันด้วยเอ็นซึ่งต่อกันได้หลายแบบแล้วแต่การเคลื่อนที่ การที่
กระดูกประกอบด้วยชิ้นเล็กชิ้นน้อยมาต่อๆกัน ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างนิ่มนวลราบรื่น
มากขึ้น
  • กระดูกที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น กะโหลกศีรษะ
  • กระดูกเคลื่อนที่ได้เล็กน้อย เช่น กระดูกบริเวณก้นกบ
  • กระดูกแบบบานพับ เช่น กระดูกต้นแขน ข้อต่อบริเวณหัวเข่า
  • กระดูกแบบหัวกลม เช่น กระดูกกะโหลกศีรษะ กระดูกต้นคอ เป็นต้น



ทางซ้ายคือแบบบานพับ ขวาคือแบบโพรง
การเคลื่อนไหวของข้อต่อ
1.             เคลื่อนได้ระนาบเดียวกัน(แบบบานพับ) เช่น ข้อศอก ข้อเข่า
2.             เคลื่อนได้ระนาบ เช่น ข้อมือ กระดกขึ้น-ลง
3.             เคลื่อนได้ 3 ระนาบ เช่น ข้อไหล่ ข้อสะโพก
        อาหารและยาที่เรากินหรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะซึมผ่านกล้ามเนื้อไป การฉีดเข้าข้อต่อ
โดยตรงอาจเกิดอันตรายได้ เพราะยาบางชนิดสามารถทำลายกระดูกอ่อนได้ การนวดมีส่วน
ทำให้อาการและยาซึมผ่านข้อต่อได้เร็วขึ้นและมักไม่มีผลเสียใดๆ

การบำรุงรักษาและพัฒนาโครงร่าง
        
        ข้อเคล็ด เกิดจากเส้นเอ็นที่ยึดติดกระดูกฉีกขาด ทำให้อักเสบบวมบริเวณข้อต่อ และห้อ
เลือด รักษาโดยใช้น้ำแข็งประคบ
1.             ท่ายืนควรยืดไหล่หลังตรง แอ่นเล็กน้อยบริเวณคอ
2.             หน้าอกแอ่น ตะโพกยื่น ทำให้กระดูกสันหลังช่วงเอวแอ่นมากทำให้เกิดอา
การปวดหลัง
3.             การนั้งเอามือเท้าคาง หลังงอ ทกให้กรดูกสันหลังโก่ง ปวดหลัง
4.             การเดินเอาส้นเท้าลงก่อน ทำให้พยุงน้ำหนักได้ดี เดินเร็วแล้วมีความรู้สึกว่า
ตัวเบากว่าการเดินเอาปลายเท้าลง

อาหารบำรุงกระดูก
        อาหารช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูก เช่นอาหารพวกที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ 
นมสด ไข่แดง ผักใบเขียว ผลไม้ และอาหารที่มีวิตามินดี เช่น น้ำมันตับปลา ผักสด การออก
กำลังกายเป็นประจำเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนากระดูกให้เจริญอย่างเต็มที่และแข็งแรง ระวัง
อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินไปเพราะอาจทำให้ข้อต่อชำรุดเสื่อมสภาพเร็ว

โรคเกี่ยวกับกระดูก มาจากหลายสาเหตุ

1.             จากพันธุกรรม
2.             จากเชื้อโรค
3.             จากสิ่งแวดล้อม
4.             จากวัยอายุที่เพิ่มขึ้น