ระบบหายใจ
การหายใจ
ขบวนการหรือปฏิกิริยาในการสลายสารอาหารของสิ่งมีชีวิต
เพื่อให้ได้มาซึ่งพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้
1.การหายใจภายใน(Internal
Respiration) แลกเปลี่ยน ออกซิเจนกับคาร์บอนไดออกไซด์ที่
เซลล์กับเม็ดเลือด
2.การหายใจภายนอก(Externac
Respiration) การแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างของเหลว
ในระบบหมุนเวียนกับสิ่งแวดล้อม
สัตว์
|
อวัยวะ
|
1.โปรติสต์
|
เยื่อหุ้มเซลล์
|
2.สัตว์ชั้นต่ำที่อยู่ในน้ำ
|
เยื่อหุ้มเซลล์,ผิวลำตัว
|
3.แอนนีลิด
|
ผิวหนัง
|
4.อาร์โทรปอด
|
ท่อลม,ปอดแผง,เหงือกแผง
|
5.ตัวอ่อนแมลงที่อยู่ในน้ำ
|
เหงือก
|
6.ปลา
|
เหงือก
|
7.สัตว์มีกระดูสันหลังที่อยู่บนบก
|
ปอด
|
อวัยวะที่เกี่ยวข้อง
*ปอดของคนมีถุงลมประมาณ 30
ล้านถุงหรือประมาณ 40 เท่าของพื้นที่ผิวหนังของร่างกายคน
1.จมูก
(Nose)-จมูก เป็นทางผ่านของอากาศด่านแรก
2. หลอดคอ (Pharynx)-ทำหน้าที่เป็นทางเดินอากาศ
ตั้งอยู่ส่วนบนด้านหน้าคือบริเวณลูกกระเดือก (Adam’s apple) ด้านหน้าของหลอดอาหารประกอบด้วยกระดูกอ่อนทั้งชนิดใสและชนิดยืดหยุ่น
9 ชิ้นด้วยกัน ยึดติดกันด้วยเอ็นยึดข้อต่อและกล้ามเนื้อ
กระดูกอ่อนต่างๆ
4. หลอดลม (Trachea)-หลอดลมขั้วปอดนี้จะทอดเข้าสู่ปอดข้างขวาและซ้าย
แตกแขนงออกเป็นแขนงเล็กๆ เป็นหลอดลมในปอด (Bronchioles)
5. ปอด
(Lung)-การนำก๊าซ CO2 ออกจากเลือด
และนำออกซิเจนเข้าสู่เลือด
6. เยื่อหุ้มปอด (Pleura)เยื่อหุ้มปอดซึ่งมี 2 ชั้น ระหว่าง 2 ชั้นนี้มี ของเหลวอยู่นิดหน่อย
เพื่อลดแรงเสียดสี ระหว่างเยื่อหุ้มมีโพรงว่าง
การเดินทางสู่ถุงลมปอด
เมื่อเราหายใจเข้าสู่จมูกสิ่งสกปรกแปลกปลอมจะถูกดักจับด้วยเมือกที่อยู่บริเวณผิวรูจมูก
อากาศผ่านโพรงจมูกเข้าสู่คอหอยไปยังกล่องเสียงที่เส้นเสียงอยู่1คู่วางพาดอยู่ สายเส้นเสียงแต่ละเส้นคือกล้ามเนื้อลาย
การหดขยายตัวของเส้นเสียงทำให้ขนาดของช่องเสียงเกิดการเปลี่ยนแปลง
เมื่อช่องสียงเปิดอากาศก็จะไหลผ่านเข้าไป
เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวปิดแคบลงอากาศจะไหลออกมาทำให้เกิดการสั่นของสายเส้นเสียงเกิดเสียงขึ้น
ฝากล่องเสียงเป็นเนื้อเยื่อสามารถขยับเคลื่อนที่ขึ้นลงได้
เมื่อหายใจเอาอากาศเข้าไปฝากล่องเสียงจะเปิดออก อากาศจะไหลเข้าสู่ท่อลม
เมื่อเรากลืนอาหารฝากล่องเสียงจะลดต่ำลงลงมาปิดทางเข้าของช่องสายเส้นเสียงอาหารและของเหลวที่เรารับประทานเข้าไปจึงถูกแยกเคลื่อนที่เข้าไปในหลอดอาหาร
เมื่ออากาศเคลื่อนที่เข้าสู่ท่อลมซึ่งมีกระดูกอ่อนเป็นโครงค้ำจุนแตกแขนงเป็นถุงลมสองข้าง
โดยมีหน้าที่นำอากาศไปยังปอด
ภายในหลอดลมมีเซลล์ขนและเซลล์สร้างเมือกเพื่อป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ
แบคทีเรียถูกดักจับโดยเมือกและถูกเซลล์ขนพัดโบกไปยังคอหอยขับออกจากร่างกาย
ปอด อวัยวะรูปร่างเป็นกรวย มีสองข้างในช่องอก มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อหนาสองชั้น
โดยอากาศไหลไปตามหลอดลมที่แตกกิ่งก้านเล็กลงเรื่อยๆที่เราเรียกว่า หลอดลมฝอย
ที่เล็กที่สุดจะเชื่อมกับถุงลมแลกเปลี่ยนแก๊สซึ่งเป็นถุงอากาศหลอดเล้กที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้น
การเดินทางเข้าออกของแก๊ส
การหายใจอยู่นอกเหนือการควบคุมอำนาจจิตใจ ถูกควบคุมโดยเมดัลลา
ออบลองกาตาซึ่งมีความว่องไวต่อปริมาณของคาร์บอนไดออกไซด์
ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดมากจะกระตุ้นให้หายใจเร็วขึ้น
ถ้าปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำจะกระต้นให้หายใจช้าลง
การวัดอัตราการหายใจ
วัดจากปริมาณออกซิเจนที่เข้าไป
ปริมาตรการหายใจ
ปอดสามารถบรรจุอากาศได้สูงสุดสำหรับผู้ใหญ่ที่สุขภาพดี
(ผู้ชาย)อยู่ที่ 5.7 ลิตร (ผู้หญิง)4.2 ลิตร
อากาศที่อยู่ในปอดมีอยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของความจุปอดสูงสุด ปริมาตรปกติ คือปริมาตรอากาศที่ผ่านเข้าปอดในหนึ่งรอบวงจรการหายใจ ความจุปอดปกติ คือปริมาตรสูงสุดของอากาศที่เคลื่อที่เข้าและออกในการหายใจเข้าและการหายใจอออย่างเต็มที่ซึ่งเป็นค่าหนึ่งที่ใช้วัดสมรรถภาพของปอด
กลไกการหายใจ
การหายใจเข้า กล้ามเนื้อกะบังลมหดตัว กล้ามเนื้อยึดซี่โครงแถมนอกหดตัว กล้ามเนื้อยึดซี่โครงแถบในคลายตัว ซี่โครงกระดูกยกขึ้น ปริมาตรในช่องอกเพิ่มขึ้น ความดันในช่องอกลดลง การหายใจออก กล้ามเนื้อกะบังลมคลายตัว กล้ามเนื้อยึดซี่โครงแถมนอกคลายตัว กล้ามเนื้อยึดซี่โครงแถบในหดตัว ซี่โครงกระดูกเลื่อนต่ำลง ปริมาตรในช่องอกลดลง ความดันในช่องอกเพิ่มขึ้น
วงจรการหายใจ
เมื่อเริ่มหายใจเข้า กระบังลมหดตัวและเคลื่อนต่ำลงด้านล่าง
กล้ามเนื้อระหว่างซี่โครงที่อยู่ด้านนอกหดตัว
ทำให้ซี่โครงยกตัวขึ้นและขยายออกด้านนอก
ในช่วงที่ช่องอกขยายปอดก็จะมีการขยายตัวด้วยเช่นกัน
เมื่อความดันอากาศภายในถุงลมต่ำกว่าบรรยากาศภายนอก
อากาศจากบรรยากาศภายนอกจึงไหลตามความแตกต่างของความดันเข้าสู่ทางเดินการหายใจ
เมื่อกล้ามเนื้อทีทำให้เกิดการหายใจคลายตัว
ปอดจะหดตัวกลับและมีปริมาตรลดลง ถุงลมบีบตัว
ทำให้ความดันอากาศภายในปอดสูงกว่าภายนอก เป็นผลให้อากาศไหลออกจากปอด
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
อากาศที่หายใจเข้าไปในถุงลมมีความดันมากเนื่องจากมีปริมารออกซิเจนสูงกว่าในเส้นเลือดผอยปอด
ทำให้ออกซิเจนแพร่เข้าสู่เลือดในหลอดเลือดฝอย โดยออกซิเจนเกือบทั้งหมดจะแพร่เข้าสู่เม็ดเลือดแดง
ออกซิเจนจับกับหมู่ฮีโมโกลบินตั้งแต่งหนึ่งหมู่ขึ้นไป เราเรียกโมเลกุลนี้ว่า
ออกซีฮีโมโกบิน
การแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
คาร์บอนไดออกไซด์จะแพร่จากเนื้อเยื่อเข่าสู่หลอดเลือดฝอย
เนื่องจากควมดันเฉพาะส่วนของของคาร์บอนไดออกไซด์ในเนื้อเยื่อสูงกว่าในเลือดคาร์บอนไดออกไซด์กับน้ำได้กรดคาร์บอนิก
· การแลกเปลี่ยนออกซิเจนกับฮีโมโกลบิน
· การแลกเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
CO2 + H2O → H2CO3
- ฮีกับโมโกลบินจับกับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าออกซิเจน
200ถึง 250 เท่าดังนั้นเมื่อหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป
เลือดจึงรับออกซิเจนได้น้อยลงเลือดต้องสูบฉีดเร็วขึ้นเพื่อให้เลือดผ่านปอด
การควบคุมการหายใจ
อัตโนมัติบังคับไม่ได้
พอนส์,เมดุลลา ออบลองกาตาอยู่ใต้อำนาจจิตใจ ซีรีคอร์เทกซ์
ไฮปารามัส ซีรีเบลลัม
โดยเมดัลลาออบองกาตา กระตุ้นการหายใจเข้าออก 10 -20 ในหนึ่งนาที เส้นประสาทส่งสัญญาณการหดตัวไปยังระบังลมลมและกล้ามเนื้อ
เป็นผลทำให้เราหายใจเข้า ช่วงต่อระหว่างสัญญาณกล้ามเนื้อคลายทำให้เราหายใจออก